การเทรดในสภาพแวดล้อมของระบบเลเวอเรจ ค่ามาร์จิ้นในการเทรดคือวงเงินที่โบรกเกอร์เรียกเก็บไว้เป็นทุนประกัน ทำให้เทรดเดอร์สามารถเปิดออเดอร์และคงสถานะของออเดอร์ไว้
หากเทรดเดอร์เลือกใช้เลเวอเรจสูง วงเงินประกันที่ใช้ในการเปิดออเดอร์จะมีการเรียกเก็บน้อยลง
จากภาพหากเทรดเดอร์ไม่ได้ใช้เลเวอเรจ และต้องการซื้อ EURUSD ด้วยขนาด 1 lot เทรดเดอร์จะต้องวางเงินประกันตามขนาด lot ของบัญชี Standard ก็คือ 100000 EUR
หากเทรดเดอร์ต้องการซื้อ 1 lot EURUSD โดยใช้เลเวอเรจ 1 : 100 จะใช้ทุนประกัน 1000 EUR
หากเทรดเดอร์มีทุนในบัญชีขนาด 10000 EUR เทรดเดอร์จะไม่สามารถเปิดคำสั่งซื้อขายด้วยขนาด 1 lot ได้ แต่จะสามารถทำได้เมื่อใช้เลเวอเรจขนาด 1:100 โดยที่เมื่อสั่งเปิดคำสั่งซื้อขาย วงเงินจำนวน 1000 EUR จะถูกหักออกจาก Equity กลายเป็นส่วนของ Used Margin ดังแสดงใน MT4
ตัวอย่างบัญชีเทรดที่มีทุน 10000 EUR
เมื่อเทรดเดอร์เปิดคำสั่งเทรด 1 lot ระบบ MT4 จะกันเงินจาก Equity นำมาเป็นมาร์จิ้น (Margin) 1000 EUR ทำให้ Free Margin ลดลงเหลือ 9000 EUR
*หากบัญชีเทรดเป็นบัญชีที่มีการคิดค่าคอมมิชชั่นเทรด ระบบจะหักค่าคอมมิชชั่นเทรดเมื่อเปิดคำสั่งเทรดทันที ดังแสดงในรูปที่คอมมิชชั่นเทรดคือ -4.00
ทำไมเราจึงต้องสนใจค่ามาร์จิ้น
จะเห็นได้ว่า เมื่อเทรดเดอร์เปิดคำสั่งซื้อขาย ค่ามาร์จิ้นจะถูกหักจาก Equity ไปเรื่อยๆ และเมื่อค่า Equity คงเหลือที่ระดับต่ำ แต่เทรดเดอร์ยังคงต้องการสั่งเปิดคำสั่งซื้อขายเพิ่ม ในเวลานี้ MT4 จะไม่อนุญาตให้มีการเปิดคำสั่งซื้อขายเพิ่มอีกเนื่องจากคำสั่งซื้อขายล่าสุดนั้นใช้มาร์จิ้นสูงกว่าเงินทุนที่เหลืออยู่
และสิ่งที่จะเกิดขึ้น เมื่อระดับ Equity ในพอร์ตการลงทุนลดลงจนอยู่ในระดับต่ำ ไม่ใช่เพียงแค่เทรดเดอร์จะเปิดคำสั่งซื้อขายเพิ่มอีกไม่ได้ แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือ เมื่อระดับ Equity ลดลงจนต่ำกว่า 30% ของ Margin used ระบบ MT4 จะเริ่มสั่งปิดคำสั่งซื้อขายที่เปิดอยู่ของเทรดเดอร์ ทีละคำสั่งไล่จากคำสั่งที่มีการขาดทุนมากที่สุดไปเรื่อยๆจนระดับ Equity คงเหลือกลับมาอยู่ในระดับที่สูงกว่า 30% ของ Margin used ซึ่งจุดนี้ก็คือจุดที่เรียกว่า Stop out หรือระดับของการล้างพอร์ตที่เทรดเดอร์ทุกคนต่างพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบเหตุการณ์นี้
เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะตระหนักถึงความสำคัญของขนาดของ Margin used เนื่องจาก หากการเทรดใช้ขนาดของมาร์จิ้นที่มีขนาดใหญ่ จำนวนหลายคำสั่งซื้อขาย ขนาดของ Equity จะลดลงอย่างรวดเร็ว และทำให้พอร์ตการลุนอยู่ในความเสี่ยงสูง
ตราสารที่ต่างกันทำให้มาร์จิ้นต่างกัน
นอกจากค่าเลเวอเรจ ที่จะมีผลต่อขนาดของวงเงินประกัน (หรือมาร์จิ้น)ที่ระบบต้องการเพื่อเปิดคำสั่งซื้อขาย อีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อขนาดมาร์จิ้นก็คือ ประเภทของตราสาร
จากรูปจะเห็นว่า สำหรับเลเวอเรจ 1:100 ขนาดเงินประกันที่ต้องการของการเปิดคำสั่งเทรด EURCHF จะมีขนาดถึง 50000 EUR ในขณะที่การเปิดคำสั่งเทรด EURUSD จะใช้เพียง 1000 EUR ในการเปิดคำสั่งซื้อขายที่มีขนาด 1 lot เท่ากัน
ทำไมตราสารที่ต่างกันถึงต้องการระดับวงเงินประกันที่แตกต่างกัน
มีหลายเหตุผลที่สามารถใช้ตอบได้สำหรับคำถามนี้ ประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือลักษณะปัจจัยพื้นฐานของสกุลเงินนั้นๆ หากสกุลเงินใดที่มีลักษณะของความผันผวนสูง อันเนื่องจากปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ
หรือเหตุการณ์ต่างๆที่อาจมีผลกระทบกับมูลค่าของสกุลเงินอย่างรุนแรง การถือครองสกุลเงินดังกล่าวจะมีความเสี่ยงสูง เมื่อมีความเสี่ยงสูง สิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดจะทำก็คือการป้องกันความเสี่ยงเมื่อจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับสินค้านั้นๆ โดยการเพิ่มระดับของวงเงินประกัน หรือลดการให้เลเวอเรจสำหรับสินค้านั้นๆ ซึ่งจะทำให้เทรดเดอร์ที่ต้องการเทรดสินค้าดังกล่าวต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงในแง่ของวงเงินมาร์จิ้น เมื่อเทรดเดอร์ต้องการที่จะเทรดตราสารดังกล่าวก่อนทำการเทรดเสมอ
วางแผนและคำนวณก่อนการเทรด
สิ่งที่เทรดเดอร์ควรทำก่อนเทรด คือการวางแผนว่าจะเทรดตราสารใดบ้าง ขนาดของทุนที่จะลงทุน และระดับเลเวอเรจ จากนั้นคำนวณว่าด้วยทุนกับสภาพแวดล้อมดังกล่าว จะเปิดคำสั่งซื้อขายด้วยขนาด lot ใดบ้างสำหรับแต่ละตราสาร เพื่อให้ทราบว่ามาร์จิ้นรวมจะใช้ประมาณเท่าใด
เมื่อทราบระดับของมาร์จิ้นที่จะต้องใช้ ก็จะสามารถประมาณได้ว่าวงเงิน Equity ของเทรดเดอร์จะเหลือสำหรับการรองรับการวิ่งของราคาที่ตรงข้ามกับการเทรดได้เพียงใด
ซึ่งจะนำไปสู่หัวข้อที่เทรดเดอร์ควรทราบอีกข้อคือค่า pip value ที่จะนำไปคำนวณระดับของการสูญเสียเมื่อราคาไปในทิศตรงกันข้ามกับที่ทำการเทรด
ตรวจสอบระดับมาร์จิ้นในสภาพแวดล้อมของบัญชีเทรดของคุณได้ที่ https://www.tickmill.com/th/tools/forex-calculators
コメント